นักวิจัยในฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น พบไวรัสลึกลับสายพันธุ์ใหม่ โดยมีคนติดเชื้อหลายครั้ง คาดต้นตอมาจากถูกเห็บกัด แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
วันที่ 5 ตุลาคม 2564 เว็บไซต์เอ็กซ์เพรส รายงานอ้างอิงจากรายงานการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์ Nature Communications เผยว่า ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น พบเชื้อไวรัสก่อโรคชนิดใหม่ ซึ่งมีการติดเชื้อในมนุษย์หลายครั้ง โดยเชื่อว่าต้นตอมาจากสัตว์จากการถูกเห็บกัด
ไวรัสดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า เยโซ (Yezo) ถูกพบในเห็บ 3 ชนิด บนเกาะฮอกไกโด จากการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมของไวรัสที่แยกได้จากตัวอย่างเลือดของผู้ป่วย ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้จัดอยู่ในประเภทไวรัสออร์โธไนโร (Orthonairovirus) เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Nairoviridae ซึ่งรวมถึงเชื้อโรคที่ทำให้เกิดไข้เลือดออกไครเมีย-คองโก (Crimean-Congo haemorrhagic fever หรือ CCHF)
อาการของผู้ที่ติดเชื้อ พบว่าจะมีไข้ เกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำลง โดยผู้ป่วยรายแรกที่พบเป็นชายอายุ 41 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ด้วยอาการมีไข้และปวดขา ภายหลังจากถูกแมลงกัด ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเห็บ ขณะเดินผ่านป่าในฮอกไกโด
เคอิตะ มัตสึโนะ นักไวรัสวิทยาจากสถาบันควบคุมโรคจากสัตว์สู่คนนานาชาติ ของมหาวิทยาลัยฮอกไกโด เผยว่า ตั้งแต่ปี 2557 มีชาวญี่ปุ่นอย่างน้อย 7 ราย ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวนี้ แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ในจีนก็พบไวรัสชนิดใหม่ของไวรัสออร์โธไนโรเช่นเดียวกัน ตั้งชื่อว่า ไวรัสซงหลิง (Songling) ซึ่งผู้ป่วยทุกรายที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ถูกเห็บกัดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังพบว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับไวรัสซูลินา ที่ตรวจพบในโรมาเนีย และไวรัสแทมดี ที่ตรวจพบในอุซเบกิสถาน และจีน ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเกิดไข้เฉียบพลันเมื่อเร็ว ๆ นี้
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชี้ว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่กระจายของไวรัสนอกพื้นที่ฮอกไกโด ทั้งนี้ เพื่อระบุที่มาของไวรัสเยโซ ทีมนักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวอย่างที่รวบรวมจากสัตว์ในพื้นที่ระหว่างปี 2550-2563 และพบแอนติบอดีไวรัสในสัตว์ท้องถิ่น ได้แก่ กวางและแรคคูน
"ทุกเคสของของการติดเชื้อไวรัสเยโซที่เราทราบตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียชีวิต แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะพบเชื้อนี้นอกฮอกไกโด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบการแพร่กระจายของโรคโดยด่วน" มัตสึโนะ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก :hilight.kapook,express, sciencedaily
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น